น่าเป็นห่วง Shazam! Fury of the Gods ทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกต่ำสุดของค่าย DCU

น่าเป็นห่วง Shazam! Fury of the Gods ทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกต่ำสุดของค่าย DCU

Shazam! Fury of the Gods ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อของค่าย DC Universe ที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กลายเป็นหนังที่ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาช่วงสุดสัปดาห์แรกน้อยสุดในจักรวาลด้วยรายได้เพียง 30.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งน้อยกว่ารายได้เปิดตัวของหนังภาคแรกอย่าง “Shazam!” (2019) ถึงครึ่งหนึ่ง ขณะที่หนังภาคแรกทำรายได้รวมทั่วโลกตลอดระยะเวลาที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์ไปทั้งสิ้น 365.9 ล้านเหรียญฯ ซึ่งหากพิจารณาจากรายได้เปิดตัวของหนังภาค 2 แล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่าหนังภาคนี้มีโอกาสประสบความล้มเหลวสูง

Shazam! Fury of the Gods ใช้ทุนสร้างไปกว่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

Shazam! Fury of the Gods ทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ ช่วงสุดสัปดาห์แรกไปทั้งสิ้น 30.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,035 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ารายได้เปิดตัวของภาคแรกอย่าง “Shazam!” (2019) ถึงครึ่งหนึ่ง ขณะที่รายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์แรกทั่วโลกอยู่ที่ 65.5 ล้านเหรียญฯ หรือราว 2,230 ล้านบาท จากทุนสร้างที่ใช้ไปถึง 125 ล้านเหรียญฯ หรือราว 4,250 ล้านบาท ส่งผลให้หนังภาคนี้กลายเป็นหนังที่ทำรายได้เปิดตัวต่ำที่สุดของค่าย DC Universe  หากไม่นับ “Wonder Woman 1984” (2020) และ “The Suicide Squad” (2020) ที่เข้าฉายแบบจำกัดโรงภาพยนตร์เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ต้องฉายบนสตรีมมิงอย่าง HBO Max ไปพร้อมกันด้วย โดยนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า หนังภาคที่ 2 นี้มีโอกาสสูงมากที่จะประสบความล้มเหลวด้านรายได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวหนังภาคแรกแม้จะทำรายได้ไปพอสมควร แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นจนคนดูอยากติดตามหนังภาค 2 

สำหรับ Shazam! Fury of the Gods เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์สมัย DC Universe ยุคเก่าเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ก่อนที่จะมาถึงยุค DC Studios ที่ได้ “เจมส์ กันน์” (James Gunn) และ “ปีเตอร์ ซาฟราน” (Peter Safran) มารับหน้าที่รีบูตและสร้าง DCU ใหม่ โดยหนังภาคนี้ยังคงได้ผู้กำกับ “เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก” (David F. Sandberg) กลับมารับหน้าที่ควบคุมงานสร้าง และได้ทีมนักแสดงชุดเดิมทั้ง “แอชเชอร์ แองเจิล” (Asher Angel) ในบท Billy Batson ร่างเด็ก ที่สามารถแปลงร่างเป็น Shazam ซึ่งรับบทโดย “แซคารี ลีวาย” (Zachary Levi) ได้ โดยในภาคแรกนั้นทำรายได้ทั่วโลกไป 365.9 ล้านเหรียญฯ หรือราว 12,455 ล้านบาท จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ หรือราว 3,400 ล้านบาท ส่วนโปรเจกต์ต่อไปที่จะเข้าฉายต่อจากนี้ก็คือ “Aquaman and the Lost Kingdom” ที่มีกำหนดฉายวันที่ 25 ธันวาคม 2023 ซึ่งต้องรอดูว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน

(ขอบคุณภาพประกอบจาก people.com และ comicsuniverse.it)

#ข่าวบันเทิง #แอชเชอร์ #ข่าวภาพยนต์